ในทุก ๆ ครั้งที่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พรรคการเมืองต่าง ๆ จะต้องนำเสนอเกี่ยวกับนโยบายของพรรคการเมืองนั้น ๆ ต่อประชาชน เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกแก่ประชาชนที่จะทำการตัดสินใจทำการเลือกตั้ง โดยส่วนใหญ่แล้วทุก ๆ ประเทศจะมีพรรคการเมืองใหญ่ ๆ สองพรรคที่ทำการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ที่สหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน โดยสองพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งกันมาโดยตลอดก็คือพรรคคริพับลิกัน และพรรคเดโมเครต
โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้ มีการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ครั้งที่ 45 ซึ่งแน่นอนว่ามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดโดยเราจะไปดูนโยบายของทั้งพรรคคริพับลิกัน และพรรคเดโมเครตกันนะครับว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
มาเริ่มกันที่นโยบายที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากก็คือนโยบายของพรรคคริพับลิกันซึ่งนำโดยนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เกี่ยวกับการอพยพคนเข้าเมือง โดยทรัมป์ ได้ทำการประกาศว่าถ้าหากเขาได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาแล้ว เขาจะทำการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศเม็กซิโก เพื่อตัดช่องทางการหลบหนีเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางเม็คซิโกต้องเป็นคนออกอีกด้วย นอกจากนั้นทรัมป์ยังเพิ่มบทลงโทษให้มีความเข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับผู้อาศัยในสหรัฐอเมริกา
ในอีกด้านหนึ่งทางพรรคเดโมเครต ที่นำโดยนางฮิลลารี คลินตัน ได้มีนโยบายที่แทบจะตรงกันข้ามกับทางพรรคคริพับลิกันทั้งหมดเลยส่วนหนึ่งเนื่องจากฐานของคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของเธอจะเป็นชาวผิวสี เธอจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น กับผู้ที่ทำการอพยพเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในส่วนของนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของ ทรัมป์ ได้ทำการประกาศลดภาษีลงจาก35 เปอร์เซ็นต์เหลือเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นนโยบายที่มีความเสี่ยงอยู่ในเรื่องของความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งหลักๆเลยคือการกีดกันการค้าขายกับจีนซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทางสหรัฐอเมริกายังคงต้องการกำลังผลิตจากทางประเทศจีนอยู่ ในทางกลับกันนางฮิลลารี คลินตัน มีแนวคิดว่าการค้าเสรีจะมีผลดีกับเศรษฐกิจของทางสหรัฐอเมริกามากกว่า
ส่วนของนโยบายต่างประเทศพรรคคริพับลิกัน มีความต้องการที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐอเมริกากับทางรัสเซีย เนื่องจากก่อนหน้านั้นในยุคของรัฐบาลโอบาม่า ได้มีการสร้างกระแสตึงเครียดทางการทหารไว้ ทำให้มีปัญหากระทบกระทั้งกันเรื่อยมา ซึ่งนโยบายดังกล่าวก็ยังคงแตกต่างจากพรรคเดโมเครต อยู่เช่นเคยนั้นก็คือไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องการฟื้นฟูทางด้านการทูตระหว่างสหรัฐอเมริกากับทางรัสเซีย